ตีสองแล้ว
ผมปิดแล็บท็อปถอดหูฟังออก  จบการประชุมข้ามโลกที่เวลากลับตาลปัตรไปอีกประชุมหนึ่ง ผมเหลือบดูตารางประชุมครั้งต่อไป schedule โชว์ alert reminders มาล่วงหน้า อีกชั่วโมงหนึ่งกว่าอีกการประชุมจะเริ่มอีกตั้งชั่วโมงนึงไปนอนสักงีบดีกว่า หรือ แค่ชั่วโมงเดียวอย่าไปนอนมันเลย เช็คพรีเซนเทชั่นให้แน่นๆอีกทีดีกว่า ลูกค้าข้ามชาติรายนี้ครั้งเดียวไม่เคยขายผ่าน นึกถึงประโยคคลาสสิคเปิดการคอมเมนท์ของเขาแล้วก็มีท้อ I like it you hit it right on the brief. Your work is cool as usual but แล้วต่อจากนั้นคอมเมนท์ที่ uncool ทั้งหลายก็พรั่งพรู เห็นภาพน้ำลายจากอีกซีกโลกกระเซ็นเปียกงานชุ่มโชก ดีนะที่อยู่กันคนละซีกโลก
ตีสองแล้ว
เสียงกุกกักจากห้องคุณแม่มาตรงเวลาเป๊ะราวกับแกตั้งนาฬิกาปลุกไว้ บางทีผมก็สงสัยนะอาการความจำเสื่อมของแกนี่ ทำไมแกจำได้แม่นเลยว่าแกจะต้องตื่นขึ้นมาเมื่อไร แต่จำไม่ได้หรอกว่าตีสองนี่เป็นเวลานอนไม่ใช่เวลาตื่น ส่วนเวลาตีสองที่เป็นเวลางานข้ามโลกของผมนั้น ไม่ต้องคาดหวัง คุณแม่ไม่มีทางจำได้  “ลูกโอ๊ค มาช่วยแม่หาไอ้นี่หน่อย” อย่างน้อยแกก็จำได้ว่าผมชื่อลูกโอ๊ค “คร้าบบบแม่ ไปเดี๋ยวนี้ละครับ”
ตีสองแล้ว
นาฬิกาหน้าปัดกระเบื้องพอร์ซเลนสีขาวนวลล้อมกรอบหน้าปัดด้วยช่อดอกแดฟโฟดิลสีเหลืองสดลวดลายวิคตอเรียนที่วางอยู่ที่โต๊ะข้างเตียงคุณแม่น่าจะตั้งแต่ผมจำความได้บอกเวลาไม่ผิดเทียบกับแอ้ปเปิ้ลวอทช์บนข้อมือผม “จดหมายแม่หายไปไหน” คุณแม่รื้อลิ้นชักทุกลิ้นชักในห้องออกมาเทกองเกลื่อนเต็มพื้น ท่าจะหาไอ้จดหมายที่ว่านี่มาพักใหญ่แล้ว ตอนนี้คุณแม่นั่งแปะอยู่กลางกองบิลเก่า รูปเก่า โปสการ์ดเก่าๆ จากการท่องเที่ยวที่แกเก็บไว้ รวมทั้งโปสการ์ดและจดหมายของผมที่แกกำชับให้ผมเขียนมาทุกสัปดาห์ตอนที่ผมเรียนอยู่ที่ชิคาโก “เพิ่งเขียนเสร็จ แม่วางไว้ที่หัวนอนนี่ มันไปไหน แม่เขียนเสร็จแล้ว จะส่งแล้ว มันหายไปไหน ไปเรียกนังอิ่มมาหาให้แม่เร็วๆ อิ่ม” นังอิ่ม มาหาของให้ชั้นเร็ว นี่ก็อีกคน เรียกงี้…หาย นังอิ่ม นังอิ่ม” คุณแม่ยังไม่ยอมจำว่าป้าอิ่มไม่อยู่กับแกแล้ว “ป้าไม่ไหวแล้วค่ะคุณลูกโอ๊ค คุณท่านไม่หลับไม่นอน ทำอะไรก็ไม่ถูกใจ เอ็ดป้าทุกเรื่อง ป้าทั้งเหนื่อยทั้งเครียด ป้าก็แก่แล้ว ถึงจะรักคุณท่านแค่ไหนแต่ป้าก็ไม่ไหวค่ะ” ป้าอิ่มข้าเก่าเต่าเลี้ยงของคุณแม่ พี่เลี้ยงที่เลี้ยงผมมาตั้งแต่เกิดลาออกไปแล้ว เวลาที่เชื่อมโยงคุณท่านกับบ่าวคู่นี้มายาวนานเลือนหายไปอย่างน่าเสียดายไม่ต่างจากความทรงจำดีๆ ที่เคยมีต่อกัน “เดี๋ยวลูกโอ๊คช่วยหาให้ครับคุณแม่ คุณแม่นอนเถอะครับ นี่ยังไม่ได้นอนเลยใช่ไหมเนี่ย” “แม่จำไม่ได้  ว่านอนหรือยัง” “นี่มุกใช่ไหมครับ” ผมอดจะขำอาการความจำเสื่อมไม่ได้  ยังไม่ทันจะถามว่าหาจดหมายอะไร หน้าตายังไง คุณแม่ก็หลับไปเรียบร้อย
ตีสองแล้ว
มันกลายเป็นเวลาหลับประจำของคุณแม่มาตั้งแต่แกเข้าวัยชรา นาฬิกามันไม่สนใจหรอกว่ามันเป็นเวลาทำงานของผม ทั้งๆ ที่ผมควรจะนอนเหมือนกัน ผมจ้องนาฬิกาพอร์ซเลนของคุณแม่ตัดพ้อมันในใจว่าแกเป็นนาฬิกาแกก็เดินไปเรื่อยได้นะสิ ไม่ต้องหลับต้องนอน แต่คนน่ะคน..เข้าใจไหม…คนต้องนอน แล้วก็ไอ้เจ้านาฬิกานี่แหละ ที่ป้าอิ่มแกตั้งให้มันดังตอนสองทุ่มเพื่อจะเตือนคุณแม่ให้ทานยาแล้วนอน นาฬิกานี่เลยเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ป้าอิ่มผู้ถูกแรงเหวี่ยงของคุณแม่มาตลอดกระเด็นไกลกลับไปบ้านนอก นึกย้อนไปแล้วก็ขำคนแก่สองคนที่สัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้นผ่านเวลาที่ต่างคนต่างอุปถัมภ์ดูแลกันมานาน ไว้วางใจนับถือกันมากกว่านายกับบ่าว จะว่าไปป้าอิ่มกับคุณแม่เป็นเพื่อนสนิทที่รักและรู้ใจกันมากกว่าใคร มากกว่าผมที่เป็นลูกแท้ๆ เสียอีก เห็นเขาสองคนงอนกัน คนหนึ่งล้งเล้งว่าหาโน่นหานี่ไม่เจอตลอดเวลา แล้วก็โทษอีกคน อีกคนก็งอนนั่งกินข้าวเปล่ากับน้ำตาร่วงเผาะอยู่ในครัว
ตีสองแล้ว
นี่ผมหาอะไรเนี่ย อ้อ..จดหมาย ความจำผมชักเริ่มเลอะเลือนแล้วสิ จดหมายอะไรเนี่ย แล้วทำไมต้องหา
ตีสองแล้ว
ผมปิดแล็บท็อปถอดหูฟังออก  จบการประชุมข้ามโลกที่เวลากลับตาลปัตรไปอีกประชุมหนึ่ง ผมเหลือบดูตารางประชุมครั้งต่อไป schedule โชว์ alert reminders มาล่วงหน้า อีกชั่วโมงหนึ่งกว่าอีกการประชุมจะเริ่มอีกตั้งชั่วโมงนึงไปนอนสักงีบดีกว่า หรือ แค่ชั่วโมงเดียวอย่าไปนอนมันเลย เช็คพรีเซนเทชั่นให้แน่นๆอีกทีดีกว่า ลูกค้าข้ามชาติรายนี้ครั้งเดียวไม่เคยขายผ่าน นึกถึงประโยคคลาสสิคเปิดการคอมเมนท์ของเขาแล้วก็มีท้อ I like it you hit it right on the brief. Your work is cool as usual but แล้วต่อจากนั้นคอมเมนท์ที่ uncool ทั้งหลายก็พรั่งพรู เห็นภาพน้ำลายจากอีกซีกโลกกระเซ็นเปียกงานชุ่มโชก ดีนะที่อยู่กันคนละซีกโลก
ตีสองแล้ว
เสียงกุกกักจากห้องคุณแม่มาตรงเวลาเป๊ะราวกับแกตั้งนาฬิกาปลุกไว้ บางทีผมก็สงสัยนะอาการความจำเสื่อมของแกนี่ ทำไมแกจำได้แม่นเลยว่าแกจะต้องตื่นขึ้นมาเมื่อไร แต่จำไม่ได้หรอกว่าตีสองนี่เป็นเวลานอนไม่ใช่เวลาตื่น ส่วนเวลาตีสองที่เป็นเวลางานข้ามโลกของผมนั้น ไม่ต้องคาดหวัง คุณแม่ไม่มีทางจำได้  “ลูกโอ๊ค มาช่วยแม่หาไอ้นี่หน่อย” อย่างน้อยแกก็จำได้ว่าผมชื่อลูกโอ๊ค “คร้าบบบแม่ ไปเดี๋ยวนี้ละครับ”
ตีสองแล้ว
นาฬิกาหน้าปัดกระเบื้องพอร์ซเลนสีขาวนวลล้อมกรอบหน้าปัดด้วยช่อดอกแดฟโฟดิลสีเหลืองสดลวดลายวิคตอเรียนที่วางอยู่ที่โต๊ะข้างเตียงคุณแม่น่าจะตั้งแต่ผมจำความได้บอกเวลาไม่ผิดเทียบกับแอ้ปเปิ้ลวอทช์บนข้อมือผม “จดหมายแม่หายไปไหน” คุณแม่รื้อลิ้นชักทุกลิ้นชักในห้องออกมาเทกองเกลื่อนเต็มพื้น ท่าจะหาไอ้จดหมายที่ว่านี่มาพักใหญ่แล้ว ตอนนี้คุณแม่นั่งแปะอยู่กลางกองบิลเก่า รูปเก่า โปสการ์ดเก่าๆ จากการท่องเที่ยวที่แกเก็บไว้ รวมทั้งโปสการ์ดและจดหมายของผมที่แกกำชับให้ผมเขียนมาทุกสัปดาห์ตอนที่ผมเรียนอยู่ที่ชิคาโก “เพิ่งเขียนเสร็จ แม่วางไว้ที่หัวนอนนี่ มันไปไหน แม่เขียนเสร็จแล้ว จะส่งแล้ว มันหายไปไหน ไปเรียกนังอิ่มมาหาให้แม่เร็วๆ อิ่ม” นังอิ่ม มาหาของให้ชั้นเร็ว นี่ก็อีกคน เรียกงี้…หาย นังอิ่ม นังอิ่ม” คุณแม่ยังไม่ยอมจำว่าป้าอิ่มไม่อยู่กับแกแล้ว “ป้าไม่ไหวแล้วค่ะคุณลูกโอ๊ค คุณท่านไม่หลับไม่นอน ทำอะไรก็ไม่ถูกใจ เอ็ดป้าทุกเรื่อง ป้าทั้งเหนื่อยทั้งเครียด ป้าก็แก่แล้ว ถึงจะรักคุณท่านแค่ไหนแต่ป้าก็ไม่ไหวค่ะ” ป้าอิ่มข้าเก่าเต่าเลี้ยงของคุณแม่ พี่เลี้ยงที่เลี้ยงผมมาตั้งแต่เกิดลาออกไปแล้ว เวลาที่เชื่อมโยงคุณท่านกับบ่าวคู่นี้มายาวนานเลือนหายไปอย่างน่าเสียดายไม่ต่างจากความทรงจำดีๆ ที่เคยมีต่อกัน “เดี๋ยวลูกโอ๊คช่วยหาให้ครับคุณแม่ คุณแม่นอนเถอะครับ นี่ยังไม่ได้นอนเลยใช่ไหมเนี่ย” “แม่จำไม่ได้  ว่านอนหรือยัง” “นี่มุกใช่ไหมครับ” ผมอดจะขำอาการความจำเสื่อมไม่ได้  ยังไม่ทันจะถามว่าหาจดหมายอะไร หน้าตายังไง คุณแม่ก็หลับไปเรียบร้อย
ตีสองแล้ว
มันกลายเป็นเวลาหลับประจำของคุณแม่มาตั้งแต่แกเข้าวัยชรา นาฬิกามันไม่สนใจหรอกว่ามันเป็นเวลาทำงานของผม ทั้งๆ ที่ผมควรจะนอนเหมือนกัน ผมจ้องนาฬิกาพอร์ซเลนของคุณแม่ตัดพ้อมันในใจว่าแกเป็นนาฬิกาแกก็เดินไปเรื่อยได้นะสิ ไม่ต้องหลับต้องนอน แต่คนน่ะคน..เข้าใจไหม…คนต้องนอน แล้วก็ไอ้เจ้านาฬิกานี่แหละ ที่ป้าอิ่มแกตั้งให้มันดังตอนสองทุ่มเพื่อจะเตือนคุณแม่ให้ทานยาแล้วนอน นาฬิกานี่เลยเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ป้าอิ่มผู้ถูกแรงเหวี่ยงของคุณแม่มาตลอดกระเด็นไกลกลับไปบ้านนอก นึกย้อนไปแล้วก็ขำคนแก่สองคนที่สัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้นผ่านเวลาที่ต่างคนต่างอุปถัมภ์ดูแลกันมานาน ไว้วางใจนับถือกันมากกว่านายกับบ่าว จะว่าไปป้าอิ่มกับคุณแม่เป็นเพื่อนสนิทที่รักและรู้ใจกันมากกว่าใคร มากกว่าผมที่เป็นลูกแท้ๆ เสียอีก เห็นเขาสองคนงอนกัน คนหนึ่งล้งเล้งว่าหาโน่นหานี่ไม่เจอตลอดเวลา แล้วก็โทษอีกคน อีกคนก็งอนนั่งกินข้าวเปล่ากับน้ำตาร่วงเผาะอยู่ในครัว
ตีสองแล้ว
นี่ผมหาอะไรเนี่ย อ้อ..จดหมาย ความจำผมชักเริ่มเลอะเลือนแล้วสิ จดหมายอะไรเนี่ย แล้วทำไมต้องหา